วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การสถาปนาและการล่มสลาย


การสถาปนา
หลังจากที่พญามังรายได้ปกครองและพำนักอยู่ในนครหริภุญชัย (ลำพูน) อยู่ 2 ปี พระองค์ทรงศึกษาสิ่งหลายๆอย่าง และมีพระราชดำริที่จะลองสร้างเมืองขึ้น เมืองนั้นก็คือ เวียงกุมกาม แต่พระองค์ก็ทรงสร้างไม่สำเร็จ เพราะเวียงนั้นมีน้ำท่วมอยู่ทุกปี จนพญามังรายจึงทรงต้องไปปรึกษาพระสหาย นั่นก็คือพ่อขุนรามคำแหง แห่ง สุโขทัย และ พญางำเมือง แห่ง พะเยา หลังจากทรงปรึกษากันแล้วจึงทรงตัดสินใจไปหาที่สร้างเมืองใหม่ ในที่สุดจึงได้พื้นที่นครพิงค์เชียงใหม่เป็นเมืองใหม่ และ เป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาต่อมา จึงสรุปได้ว่าเวียงกุมกามนั้น เป็นเมืองที่ทดลองสร้าง
              การล่มสลาย 
เวียงกุมกามล่มสลายลงเพราะเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ โดยช่วงเวลานี้อยู่ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2101 - 2317 ซึ่งตรงกับสมัยพม่าปกครองล้านนา พม่าปกครองล้านนาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่กล่าวถึงเวียงกุมกามทั้งๆที่เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่นี้เป็นเรื่องร้ายแรงมากและสมควรที่จะบันทึกไว้ แต่ก็ไม่มีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ใดเลย ผลของการเกิดน้ำท่วมนี้ทำให้เวียงกุมกามถูกฝังจมลงอยู่ใต้ตะกอนดินจนยากที่จะฟื้นฟูกลับมา สภาพวัดต่างๆ และโบราณสถานที่สำคัญเหลือเพียงซากวิหารและเจดีย์ร้างที่จมอยู่ดินในระดับความลึกจากพื้นดินลงไปประมาณ 1.50 -2.00 เมตร โดยวัดที่จมดินลึกที่สุดคือวัดอีค่าง รองลงมาคือ วัดปู่เปี้ย และวัดกู่ป่าด้อม

ประวัติเวียงกุมกาม

                                        





                                                                       
ประวัติเวียงกุมกาม

เชื่อกันว่า พญามังราย บรรพกษัตริย์ผู้ครอบครอง และสืบทอดราชวงศ์ลวจังกราช เหนือราชบัลลังก์เมืองหิรัญนครเงินยาง แห่งแค้วนโยนโบราณอันกว้างใหญ่ แถบลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำสาย และแม่น้ำกก ได้เสด็จพร้อมด้วยไพร่พลมาที่ดอยจอมทอง ซึ่งตั้งอยู่ตรงทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ริมแม่น้ำกกที่ไหลมาแต่เทือกเขาสูงทางทิศเหนือ ณ ดอยแห่งนี้ พระองค์โปรดให้ สร้างเวียง* แห่งใหม่ขึ้น เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๖ มีนามว่า เชียงราย หรือ เวียงแห่งพญามังรายเพื่อเป็นการแสดงแสนยานุภาพและขยายอาณาเขตพระองค์จึงเสด็จขึ้นไปทางเหนือไปรวบรวมรี้พล และสร้างเวียงฝางไว้เป็นเมืองหน้าด่าน  อีกทั้งยังได้สำรวจเส้นทางในลุ่มน้ำแม่ระมิงค์หรือสายน้ำแห่งชาวรามัญเพื่อขยายดินแดนลงมาทางใต้เพราะทรงทราบถึงเกียรติศัพท์อันร่ำลือว่า หริภุญไชยเป็นแค้วนใหญ่ร่มเย็นด้วยพุทธศาสนา บ้านเมืองสงบสุขมั่งคั่ง มีศิลปะวิทยาการเจริญรุ่งเรืองแต่อดีตกาลครั้งพระนางจามเทวี จึงทรงปรารถนาที่จะรวมแค้วนหริภุญไชยให้อยู่ในเขตขัณฑสีมาแห่งพระองค์ ในที่สุด พระองค์ก็ยกกำลังพละข้ายึดครองหริภุญไชยได้เป็นผลสำเร็จเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๔
อีก ๒ ปีต่อมา ทรงดำริว่า หริภุญไชยเป็นเวียงศูนย์กลางทางพุทธศาสนา มีความคับแคบเกินไป การจะขยายเวียงเพื่อรองรับชุมชนจำนวนมากทำได้ยาก จึงทรงมอบเวียงหริภุญไชยให้อ้ายฟ้าดูแล แล้วนำกำลังรี้พลพร้อมด้วยราษฎรไปตั้งมั่นอยู่ที่ บ้านแซว หรือ ชแว เพื่อพิจรณาทำเลที่เหมาะสมสำหรับสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นใหม่ ให้เป็นศูนย์กลางการปกครองและการค้าขาย ตลอดจนมีพื้นที่เหมาะสมกับการเกษตรกรรม ทางเลือกพี้นที่บ้านกลาง บ้านลุ่ม และบ้านแห้ม โปรดให้สร้างเวียงใหม่ขึ้นในปี พ.ศ. ๑๘๒๙ณ บริเวณที่แม่น้ำปิงหรือน้ำแม่ระมิงค์ไหลผ่านทางด้านทิศเหนือ และทิศตะวันออก ด้วยพิเคราะห์ว่าแม่น้ำปิงสายนี้จะเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญระหว่างดินแดนทางทิศเหนือและทิศใต้ ทรงให้ขุดคูเวียง ๓ ด้าน ใช้น้ำแม่ระมิงค์เป็นคูเวียงธรรมชาติด้านทิศเหนือ ก่อกำแพง ๔ ด้าน  มีสัณฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พร้อมสร้างที่ประทับเรือนหลวงภายในเวียงด้วยฐานะที่เป็นเมืองหลวงควบคุมดูแลการเมืองการปกครองหัวเมืองน้อยใหญ่ ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ เวียงนี้จึงได้ชื่อเรียกขานกันทั่วไปว่า  “เวียงกุ๋มก๋วม” หรือ “เวียงกุมกาม”  ในเวลาต่อมา
อาจด้วยเพราะเวียงกุมกามตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มบริเวณคุ้งน้ำเมื่อย่างเข้าหน้าฝน พื้นที่โดยรอบก็จะชุ่มแฉะ คราวใดที่แม่น้ำปิงมีปริมาณน้ำสูงมาก ก็จะถาโถมเข้าท่วมเวียงได้ง่าย หลักฐานจากชั้นดินในการขุดค้นทางโปราณคดีและการขุดแต่งโบราณสถานในเวียงกุมกาม ยืนยันความจริงว่าเวียงกุมกามประสบปัญหาเรื่องน้ำท่วม  ทั้งนี้เห็นได้จาก  โบราณสถานวัดร้างหลายแห่งพบอยู่ทั้งในเวียงและนอกเวียงนั้น ถูกดินเหนียวร่วนปนกรวดทราย  ซึ่งเป็นตะกอนน้ำพัดพา  กลบฝังอยู่ลึกประมาณ ๑.๕๐ – ๒.๐๐ เมตร  ส่งผลเสียหายแก่บ้านเมืองอยู่เป็นประจำ  เป็นเหตุให้พญามังรายทรงย้ายมาสร้างเวียงใหม่
ณ บริเวณที่พระองค์พร้อมด้วยพระสหาย  คือ  พ่อขุนรามคำแหง  แห่งเมืองสุโขทัย  และพญางำเมือง  แห่งเมืองพะเยา พิจารณาร่วมกันว่าบริเวณพื้นที่ราบลุ่ม มีความลาดเอียงไปทางทิศตะวันออกอยู่ระหว่างอุสุจบรรพตหรือดอยสุเทพทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  กับแม่น้ำปิงซึ่งไหลผ่านมาทางด้านทิศตะวันออกนั้น เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม  จึงโปรดให้สร้างเวียงแห่งใหม่  มีขื่อว่า “นพบุรีศรีนครงพิงค์เชียงใหม่” ขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนาแทนเวียงกุมกาม เมืองปี พ.ศ. ๑๘๓๙
แม้ศูนย์กลางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ การปกครอง เศรษฐกิจ ศิลปะ และวิทยาการต่าง ๆ จะย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้วในช่วงเวลานั้น เวียงกุมกามก็ยังคงความสำคัญโดยเฉพาะกับราชวงศ์มังราย มีผู้คนอยู่อาศัยสืบต่อกันมา เห็นได้จากเมื่อครั้งที่ มีงานอภิเษกแต่งตังพระนางปายโคขึ้นเป็นราชเทวี และงานฉลองยศอุปราชเจ้าพญาไชยสงครามราชโอรสพญามังรายโปรดให้มีการเฉลิมฉลองทั้งเวียงเชียงใหม่และเวียงกุมกามถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน  เมื่อครั้งประชวรก็โปรดที่จะเสด็จมาประทับพักผ่อนที่เวียงกุมกาม  เมื่อครั้นสิ้นสมัยของพญามังรายแล้ว  มีเรื่องเล่ากันว่า นางจีมคำ  พระราชเทวีของพญาแสนภู ได้เสด็จเยี่ยมเวียงกุมกามโดยข้ามน้ำแม่โทอยู่บ่อยครั้ง จนได้เรียกบริเวณนี้ว่า  ขัวจีมคำ  หรือสะพานจีมคำ  ล่วงมาถึงสมัยพญากือนาซึ่งมีความกล่าวไว้ในศิลาจารึกพบที่วัดพระยืนว่า  มีผู้คนจำนวนมากจากหริภุญไชยเชียงใหม่  และเวียงกุมกาม  ร่วมกันเป็นศรัทธาทำบุญถวายทาน  แด่พระสุมนเถระที่พญากือนาอาราธนามาแต่เมืองสุโขทัย  เพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา  จนถือได้ว่าเป็นการเริ่มยุคทองของพุทธศาสนาในอาณาจัตรล้านนา  ต่อมาในสมัยพญาแสนเมืองมา  พระองค์เสด็จมาเวียงกุมกามเพื่อหล่อพระพุทธรูปเจ้าสิกขี ๑ พระองค์ แล้วให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดการโถมช้างค้ำกลางเวียงเวียงกุมกาม  เริ่มประสบปัญหาความยุ่งยาก  เมื่อท้าวมหาพรมเจ้าเมืองเชียงราย  ได้นำกำลังพลจำนวนหนึ่งเข้ามากวาดต้อนผู้คนที่เวียงกุมกาม  เพื่อเข้าตีเวียงเชียงใหม่  แต่ไม่สามารถต้านทานกำลังรบของพญาแสนเมืองมาได้  จึงยกทัพกลับไป  เวียงกุมกาม  ใช่จะมีความสำคัญเพราะเป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของเวียงเชียงใหม่เท่านั้น แต่ชื่อ กุมกามดูเหมือนจะเป็นชื่อที่คุ้นเคย  ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อราชบุตรของพญาแสนเมืองมา คือ ท้ายยี่กุมกามด้วย  อย่างไรก็ตามในสมัยพญาติโลกราช เวียงกุมกาม มีฐานะเป็นเพียงพันสาหนึ่งของเวียงเชียงใหม่  โดยมี  หมื่นกุมกาม  เป็นผู้ปกครองดูแลต่อมา ในสมัยพระเมืองแก้ว  พระองค์เสด็จมาบำเพ็ญกุศลสร้างวิหาร  และอัญเชิญพระประติมาทองสำริด มาประดิษฐานบนแท่นชุกชีที่วัดกุมกามที่ปาราม  หรือ  วัดเกาะกุมกามด้วย

ประวัติผู้ก่อตั้ง

              
                      พญามังราย


                       พระราชประวัติ

พญามังรายเป็นโอรสของพระเจ้าลาวเม็งเชื้อสายวงศ์ลาวจังราชเจ้าผู้ครองหิรัญนครเงินยาง(อ.เชียงแสนปัจจุบัน) กับพระนางอั้วมิ่งจอมเมือง ราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชายเจ้าเมืองเชียงรุ่ง ท้าวรุ่งแก่นชายทรงตั้งพระนามพระธิดาใหม่ว่าพระนางเทพคำ ข่ายหรือเทพคำขยายเพื่อเป็นมงคลนาม พญามังรายเป็นเชื้อสาย ของพระเจ้าลวจังกราชปกครองชนเผ่าไทยยวน ซึ่งมีอาณาจักร ของตนเรียกอาณาจักรหิรัญนครเงินยาง ได้สร้างเมืองหิรัญนครเงินยางเป็นเมืองหลวงขึ้นทีริมฝั่งแม่น้ำโขงเมื่อประมาณ พ.ศ. 1182 พญามังรายประสูติวันอาทิตย์ แรม 9 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ สัมฤทธิ์ศกจุลศักราช 600 (พ.ศ. 1781) เวลาย่ำรุ่ง พญามังรายมีโอรส 3 องค์ ได้แก่ เจ้าขุนเครื่อง เจ้าขุนคราม (ไชยสงคราม) และเจ้าขุนเครือ พญามังรายสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 1860 รวมพระชนมายุ 79 ชันษา พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งล้านนาไทยและเป็นยุคเดียวกับพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พระร่วง) แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งทั้งสองพระองค์ยังเป็นพระสหายร่วมสาบานเดียวกันอีกด้วย 

พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งล้านนาไทยและเป็นยุคเดียวกับ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พระร่วง) แห่ง กรุงสุโขทัย ซึ่งทั้งสองพระองค์ยังเป็นพระสหายร่วมสาบานเดียวกันอีกด้วย
พระเจ้าเม็งรายมหาราชได้พระสูติเมื่อ พ.ศ.1782 ในเชื้อพระวงศ์ ทรงพระนามว่า "เม็งราย" พระบิดาทรงพระนามว่า พระเจ้าลาวเม็ง (ขุนลาวเม็ง)หรือขุนลาวเมือง มารดาคือนางเทพคำขยาย (พระนางเทพคำข่าย หรือพระนางอั้วมิ่งจอมเมือง) กษัตริย์ผู้ครองเมืองหิรัญนครเงินยางปัจจุบันเป็นอำเภอเชียงแสน
จ.เชียงราย
เมื่อพระชมน์มายุได้ 21 พรรษา ได้เสวยราชย์ที่เมืองหิรัญนครเงินยาง
พ.ศ.1802 เจ้าเมืองทั้งหลายในแคว้นล้านนา ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์
พ.ศ.1805 ทรงสร้างเมืองใหม่ โดยเอาดอยจอมทองเป็นกำแพง ขนานนามว่า "เมืองเชียงราย" (ปัจจุบัน จ.เชียงราย)
พ.ศ.1811 ทรงสร้างเมืองใหม่ขึ้น ณ ตำบลฝาง (ไชยปราการ จ.เชียงใหม่
มีพระราชโอรส 3 พระองค์ คือ เจ้าขุนเครื่อง เจ้าราชบุตรคราม เจ้าราชบุตรเครือ
พ.ศ.1814 - 1824 ยกทัพตีเมืองหริภุญชัยได้ (ปัจจุบัน จ.ลำพูน)
พ.ศ.1819 ยกทัพตีเมืองพะเยา (ปัจจุบัน จ.พะเยา) พญางำเมือง ผู้ครองเมืองพะเยาต้อนรับด้วยไมตรีและเป็นมิตรต่อกัน 4 ปีต่อมา พระขุนรามคำแหงมหาราช พระเจ้าเม็งรายมหาราชและพญางำเมือง ได้กระทำสัตย์ปฏิญานต่อกัน โดยทรงเอาโลหิตที่นิ้วพระหัตถ์ผสมน้ำสัตย์เสวยทั้ง 3 พระองค์ว่าจะไม่เบียดเบียนกันตลอดชีวิต สถานที่นี้เรียกว่าแม่น้ำอิงจ.พะเยา
พ.ศ.1829 ทรงสร้างเมืองกุมกาม (ปัจจุบัน ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่)
พ.ศ.1833 - 1834 ยกทัพไปตีเมืองพุกามพม่าได้สำเร็จ ได้พาเอาช่างฝีมือมาทำงานที่อาณาจักรล้านนา
พ.ศ.1839 ทรงสร้างเมืองใหม่ ขนานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" (ปัจจุบัน จ.เชียงใหม่) ทรงปราบดาภิเษกเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เม็งรายและสถาปนาอานาจักรล้านนา ในปีเดียวกันทรงสร้างวัดเชียงมั่น และวัดพระเจ้าเม็งราย (ก๋าละก้อด)
พ.ศ.1860 พระชนมายุได้ 78 พรรษา ได้เสด็จสวรรคตที่ต้นโพธิ์กลางเวียง จึงมีประเพณีมิให้นำศพผ่านกลางเวียงตั้งแต่บัดนั้นมา

การศึกษา
ทรงศึกษาศิลปศาสตร์และยุทธพิชัยสงคราม จากพระอาทิตย์ที่พระบิดาหาให้ และศึกษาวิชากับเทพอิสีฤๅษี ณ ดอยด้วน (อยู่ในเขตอำเภอพาน จังหวัดเชียงราย) และศึกษาร่วมสำนักเดียวกันกับพ่อขุนรามคำแหงและพ่อขุนงำเมือง ณ เขาสมอคอน ละโว้ (ลพบุรี) 

พระราชกรณียกิจ
เมื่อพระชนมายุได้ 20 ชันษา พระเจ้าลาวเม็งสวรรคต พญามังรายเสวยราชสมบัติปกครองเมืองหิรัญนครเงินยางสืบต่อมา นับเป็นราชกาลที่ 25 แห่งราชวงศ์ลวจังกราช เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้วก็ทรงพระราชดำริว่า แว่นแคว้นโยนก ประเทศนี้ มีท้าวพระยาหัวเมืองต่างๆ ซึ่งเป็นเชื้อวงศ์ของปู่เจ้าลาวจก (ลวจังกราช) ต่างก็ปกครองอย่างสามัคคีปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อีกประการหนึ่งบ้านเมืองใด หากมีผู้เป็นใหญ่ปกครองบ้านเมืองมากเจ้าหลายนายก็มักจะสร้างความทุกข์ยากให้แก่ ไพร่บ้านพลเมืองของตน และถ้าหากมีศัตรูต่างชาติเข้าโจมตีก็อาจจะเสียเอกราชของชนชาติไทยได้โดยง่าย
ฉะนั้นเพื่อความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง พญามังรายจึงมีพระประสงค์ที่จะรวบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วิธีดำเนินตามนโยบายก็คือ แต่งพระราชสาสน์ไปถึงบรรดาหัวเมืองต่างๆ ให้เข้ามายอมอ่อนน้อมในบรมโพธิสมภารของพระองค์เสียแต่ โดยดีหาไม่แล้วพระองค์จะทรงยกกองทัพไปปราบปราม
พ.ศ. 1805 พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายโดยการก่อกำแพงเมืองโอบเอาดอยจอมทองไว้ท่ามกลางเมือง ต่อมาตีได้เมืองของ ชาวลัวะคือ ม้งคุมม้งเคียนแล้วขนานนามเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงตุง
พ.ศ. 1818 ขณะที่ประทับที่เมืองฝาง ซึ่งเป็นเมืองที่สร้างมาแต่ครั้งพระเจ้าลวจังกราช เมืองฝางมีอาณาเขตติดต่อกับอาณาจักรหริภุญชัย ของพญายีบา พญามังรายทรงทราบเรื่องราวของความเจริญรุ่งเรือง และความอุดมสมบูรณ์ของเมืองหริภุญชัย พระองค์ทรงมอบ ให้อ้ายฟ้าขุนนางเชื้อสายลัวะเป็นผู้รับอาสาเข้าไปเป็นไส้ศึกทำกลอุบายให้พญายีบามาหลงเชื่อ และทำให้ชาวเมืองหริภุญชัยเกลียดชัง พญายีบา พญามังรายทรงมุ่งมั่นที่จะขยายพระราชอำนาจเหนือดินแดนลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนให้ได้ จึงมอบเมือง เชียงรายให้แก่เจ้าขุน เครื่องปกครอง ส่วนพระองค์มาประทับที่เมืองฝาง
ต่อมาพระองค์ทรงกรีฑาทัพเข้าตีเมืองพม่า แต่ด้วยเกรงในพระราชอำนาจ จึงถวายพระนางปายโคเป็นพระมเหสี เมื่อพระนางอั้วมิ่งเวียงไชยทราบก็ทรงสลดพระทัย เนื่องจากทรงระลึกได้ว่าพญามังรายทรงผิดคำสาบาน ที่พระองค์ทรงสาบาน ในเมื่อประทับ อยู่ที่เชียงแสนว่า จะมีมเหสีเพียง พระองค์เดียว พระนางจึงสละพระองค์ออกจากพระราชวัง ออกบวชชี ซึ่งเชื่อกันว่า ต่อมาบริเวณที่พระนางไปบวชนั้น เป็น เวียงกุมกาม

        พ.ศ. 1824 อ้ายฟ้าสามารถทำการได้สำเร็จ โดยหลอกให้พญายีบาเดินทางไปขอกำลังพลจากพญาเบิกเจ้าเมืองเขลางค์นคร พญามังรายจึงสามารถเข้าเมืองหริภุญชัยได้พระองค์ทรงมอบเมืองหริภุญชัยให้อ้ายฟ้าปกครอง ส่วนพระองค์ได้มาสร้างเมืองขึ้นใหม่ซึ่ง อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือให้ชื่อว่า เมืองกุมกาม หรือเวียงกุมกาม ต่อมาพญามังรายทอดพระเนตรชัยภูมิระหว่าง
ดอยสุเทพ ด้านตะวันตกกับแม่น้ำปิง ด้านตะวันออก ทรงพอพระทัยจึงเชิญพระสหาย คือ พญาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) และพญางำเมือง แห่งเมืองพะเยา มาร่วมปรึกษาหา รือการสร้างเมืองแห่งใหม่ให้นามว่า เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 1839 เรียกสั้นๆ ว่า นครเชียงใหม่ พญามังรายได้ย้ายเมืองหลวง จากเวียงกุมกามสถาปนาเมืองใหม่แห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางการปกครอง ของอาณาจักรล้านนามีอำนาจเหนือ ดินแดนลุ่มแม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำกก ถึงแม่น้ำโขงตอนกลางจนถึงหัวเมืองไทยใหญ่ (เงี้ยว) 11 หัวเมืองลุ่มแม่น้ำสาละวิน
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เมื่อทรงเสด็จออกตลาด โดยมี อสุนีบาตต้องพระองค์สิ้นพระชนม์ เชื่อกันว่าเป็นปาฏิหารย์ของ พระนางอั้วมิ่งเวียงไชย
อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง ศิลปะและวัฒนธรรมเป็นที่ยอมรับของอาณาจักรข้างเคียง พญามังรายทรงเป็นปฐมวงศ์กษัตริย์ราชวงศ์มังราย มีกษัตริย์สืบเชื้อสายถึง 18 พระองค์ จนถึง พ.ศ. 2101 ล้านนาสูญเสียความเป็น เอกราชให้แก่พระเจ้าบุเรงนองกษัตริย์แห่งพม่า
ตำนานจามเทวีโบราณได้บันทึกไว้ว่า ฤาษีวาสุเทพ เป็นผู้สร้างเมืองหริภุญชัยขึ้นในปี พ.ศ.๑๓๑๐ แล้วต่อมาได้อัญเชิญพระนางจามเทวี ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมจากเมืองละโว้ขึ้นไปครองเมืองหริภุญชัย ในครั้งนั้นพระนางจามเทวี ได้นำพระสงฆ์ นักปราชญ์ และช่างศิลปะต่าง ๆ ขึ้นไปด้วยเป็นจำนวนมาก ราวหมื่นคน พระนางได้ทำนุบำรุงและก่อสร้างบ้านเมือง ทำให้ เมืองหริภุญชัย(ลำพูน) นั้นเป็นแหล่งศิลปวัฒนธรรมที่เจริญรุ่งเรืองยิ่ง ต่อมาพระนางได้สร้างเขลางค์นคร(ลำปาง)ขึ้นอีกเมืองหนึ่งให้เป็นเมืองสำคัญ สมัยนั้นปรากฏมีการใช้ภาษามอญโบราณในศิลาจารึกขอ หริภุญชัย มีหนังสือหมานซูของจีนสมัยราชวงศ์ถัง กล่าวถึงนครหริภุญไชยไว้ว่า เป็นอาณาจักรกษัตริย์หญิง นู หวาง โก่ว

        ต่อมาพ.ศ.๑๘๒๔ พระเจ้าเม็งรายมหาราช กษัตริย์ผู้สถาปนาอาณาจักรล้านนา ได้ยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองหริภุญชัยจากพระยายีบาได้ใน ต่อจากนั้นอาณาจักรหริภุญชัยจึงสิ้นสุดลงหลังจากรุ่งเรืองมา 618 ปี มีกษัตริย์ครองเมือง 49พระองค์ 

ย้อนรอยนครใต้พิภพเวียงกุมกาม


ตำนานเวียงกุมกาม

คลังบทความของบล็อก

ผู้ติดตาม